Friday, November 17, 2023

ทำความรู้จัก เกย์เกมส์ มหกรรมกีฬาไร้พรมแดน

 เมื่อพูดถึงมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติทุกคนย่อมนึกถึง โอลิมปิก เกมส์ แต่กับโลกยุคปัจจุบันที่ไร้พรมแดนทั้งเรื่องเชื้อชาติ สีผิว และเพศแล้ว ย่อมมีคำถามตัวโต ๆ ว่า โอลิมปิก คือการแข่งขันสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้จริง ๆ หรือ?

 

แม้ โอลิมปิก จะประกาศตัวชัดเจนว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และมีนักกีฬาเกย์มากมายในโลกที่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน แต่สำหรับโอลิมปิกที่เป็นทัวร์นาเมนต์กีฬากระแสหลักแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะลงแข่งโดยเปิดเผยตัวเองได้อย่างเต็มที่ มีนักกีฬาจำนวนไม่น้อยที่ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน หรือบางคนเลือกที่จะไม่เข้าร่วมการแข่งขันในกีฬากระแสหลักเพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้น

 

ที่หนักไปกว่านั้นคือนักกีฬา LGBTQ+ ในบางประเทศไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ เนื่องจากผิดต่อหลักปฏิบัติทางศาสนาหรือกฎเกณฑ์ทางสังคม บางแห่งมีบทลงโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต  

 

เกย์เกมส์ คือมหกรรมกีฬาที่เกิดขึ้นเพื่อโอบกอดผู้คนเหล่านั้น โดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหานักกีฬา LGBTQ+ ที่เก่งที่สุดในโลก แต่เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้พวกเขาได้เป็นตัวของตัวเองโดยปราศจากการถูกเลือกปฏิบัติ และตรงกันข้ามกับโอลิมปิกที่คัดเอาเฉพาะนักกีฬาหัวกะทิเข้าร่วมการแข่งขัน แต่เกย์เกมส์เปิดกว้างให้กับทุกคนไม่ว่าคุณจะเป็นสุดยอดนักกีฬาหรือไม่ก็ตาม  

 

 

ใครคือผู้ก่อตั้งเกย์เกมส์

 

เราจะพูดถึงเกย์เกมส์ไม่ได้เลย หากไม่ได้เอ่ยถึง ด็อกเตอร์ ทอม วัดเดลล์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจและผู้ก่อตั้งการแข่งขันกีฬาและการแสดงวัฒนธรรมระดับโลกรายการนี้ โดยวัดเดลล์หรือนามสกุลเดิมคือฟลูบาเคอร์เกิดในครอบครัวคาธอลิกชาวเยอรมัน-อเมริกันที่เมืองเพเทอร์สัน รัฐนิวเจอร์ซีย์เมื่อปี 1937 เขารู้ว่าตัวเองเป็นเกย์สมัยเรียนไฮสคูลแต่พยายามเก็บกดมันเอาไว้ด้วยการทุ่มเทให้กับการเล่นกีฬา วัดเดลล์เล่นกีฬาหลายชนิดทั้งอเมริกันฟุตบอลและยิมนาสติกเหมือนพ่อแม่บุญธรรมที่รับเขามาเลี้ยงหลังพ่อแม่แยกทางกัน  

 

อย่างไรก็ตาม กรีฑาคือสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ถึงขั้นที่ได้รับทุนการศึกษาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะก้าวไปติดทีมชาติสหรัฐฯ ลงแข่งทศกรีฑาใน โอลิมปิก เกมส์ ปี 1968 ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี้ ซึ่งแม้วัดเดลล์จะไม่ได้เหรียญรางวัลไปครองแต่ก็คว้าอันดับ 6 จากนักกีฬาทั้งหมด 33 คน รวมถึงทำลายสถิติตัวเอง 5 จาก 10 รายการ

 

อย่างไรก็ตาม 4 ปีต่อมาระหว่างฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันที่ฮาวาย วัดเดลล์ได้รับบาดเจ็บเข่าอย่างรุนแรงจนต้องจบอาชีพนักกีฬา จากนั้นเขากลับมาทำงานในสายการแพทย์ตามสาขาที่ได้เล่าเรียนมาและเริ่มเปิดเผยตัวตนกับเพื่อน ๆ มากขึ้น ระหว่างที่ย้ายมาใช้ชีวิตใน ซาน ฟรานซิสโก จนในช่วงปี 1974-81 วัดเดลล์ได้ไปทำงานในตะวันออกกลางในฐานะผู้อำนวยการทางการแพทย์ของบริษัทวิทเทเกอร์ ซึ่งเจ้าตัวได้รับหน้าที่แพทย์ประจำตัวให้กับเจ้าชายและนักธุรกิจซาอุดีอาระเบีย รวมถึงได้เป็นแพทย์ประจำทีมชาติเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกปี 1976 ที่มอนทรีอัล ประเทศแคนาดาอีกด้วย

 

 

จุดเริ่มต้นเกย์เกมส์ และข้อพิพาทกับโอลิมปิกสหรัฐฯ

 

หลังออกจากบริษัทวิทเทเกอร์ วัดเดลล์ได้โอกาสลงแข่งโบว์ลิงเกย์ที่ เบย์ แอเรีย ซึ่งความรู้สึกที่ได้จากงานนี้รวมถึงประสบการณ์และความประทับใจในการลงแข่งโอลิมปิก ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจอยากจัดการแข่งขันกีฬาสำหรับชาวเกย์ในรูปแบบเดียวกับมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ จากนั้น วัดเดลล์ ได้เดินทางไปเผยแพร่แนวคิดของตัวเองทั่วประเทศเพื่อระดมการสนับสนุน

 

ปี 1982 การแข่งขันเกย์เกมส์สมัยแรกก็ได้เริ่มต้นขึ้นที่ ซาน ฟรานซิสโก ในรูปแบบของมหกรรมกีฬาและเทศกาลศิลปะโดยใช้ชื่อ "เกย์ โอลิมปิก เกมส์" แต่ถูกคณะกรรมการโอลิมปิกสหรัฐฯ (USOC) ยื่นฟ้องฝ่ายจัดการแข่งขันจากการใช้คำว่า "โอลิมปิก" ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยูเอสโอซีไม่เคยยื่นฟ้องกลุ่มใดที่เอาคำนี้ไปใช้มาก่อน ซึ่งพวกเขาให้เหตุผลว่าการยินยอมให้ใช้ชื่อ "เกย์ โอลิมปิกส์" ส่งผลเสียต่อพวกเขา และคำร้องเป็นผลสำเร็จก่อนเริ่มการแข่งขันเพียง 19 วันเท่านั้น  

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้ใช้ชื่ออย่างที่วัดเดลล์ตั้งใจเอาไว้ แต่เกย์เกมส์ครั้งแรกได้เดินหน้าและประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม มีนักกีฬาเข้าร่วมมากกว่า 1,300 คนจาก 170 ชาติ ซึ่งอาจมาจากจุดประสงค์ของการแข่งขันที่ให้ค่ากับการเน้นย้ำเรื่องน้ำใจนักกีฬา, ความสำเร็จส่วนตัว และความครอบคลุมผู้คนในระดับที่ยิ่งกว่าโอลิมปิก ขณะที่กรณีพิพาทเรื่องการใช้คำว่า "เกย์ โอลิมปิกส์" ต้องต่อเนื่องไปถึงชั้นศาลและยืดเยื้อไปถึงปี 1987 ซึ่งศาลสูงของสหรัฐฯลงคะแนนตัดสิน 5-4 เสียงให้ ยูเอสโอซี เป็นฝ่ายชนะคดี รวมถึงยืนยันสิทธิ์ของพวกเขาในการเก็บค่าธรรมเนียมทางกฎหมายจากวัดเดลล์อีกด้วย

 

 

เวทีไร้พรมแดนที่เป็นมากกว่าแค่การแข่งขันกีฬา

 

สำหรับโอลิมปิกมีกฎข้อห้ามเรื่องการแสดงออกทางการเมือง หรือสัญญะต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เนื่องจากต้องการแยกกีฬาออกจากการเมือง รวมไปถึงการประท้วงและการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมใด ๆ ก็ตาม แต่สำหรับ เกย์เกมส์ แล้วตรงกันข้าม เพราะวัดเดลล์ต้องการให้อีเวนต์นี้เป็นเวทีสำหรับการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ เป็นเวทีเพื่อการเรียกร้องคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

ฝ่ายจัดการแข่งขันออกกฎห้ามการเลือกปฏิบัติตามเพศสภาพ เพศวิถี เชื้อชาติและลักษณะอื่น ๆ เกย์เกมส์ยังให้ความสำคัญกับการตระหนักถึงภัยร้ายของเอชไอวีและเอดส์พร้อมกับการเปิดรับผู้ติดเชื้อให้เข้าร่วมการแข่งขัน นอกจากนั้นพวกเขายังเกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลสหรัฐฯยกเว้นมาตรการห้ามไม่ให้ผู้ติดเชื้อเดินทางเข้าประเทศชั่วคราวเพื่อให้สามารถลงแข่งในปี 1994 ที่นิวยอร์ก และโอลิมปิก เกมส์ ปี 1996 ที่แอตแลนตา โดยได้รับความร่วมมือจาก ยูเอสโอซี

 

อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เอชไอวีคร่าชีวิตของวัดเดลล์ในปี 1987 หลังจากที่เขาเข้าร่วมการแข่งขัน เกย์เกมส์ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 1986 ในฐานะนักกีฬาพุ่งแหลนและคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ

 

 

ปณิธานที่สานต่อ สู่หนึ่งในอีเวนต์กีฬาที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในโลก

 

ด้วยความที่เกย์เกมส์ไม่ได้จำกัดคนเข้าร่วมแค่ชาว LGBTQ+ แต่คนที่มีเพศวิถีแบบชายรักหญิงหรือหญิงรักชายก็สามารถลงแข่งขันได้ ทำให้จำนวนผู้สนใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากรายการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทศกาลสนุก ๆ เท่านั้น แต่นักกีฬาระดับโลกก็เข้าร่วมการแข่งเช่นกัน โดยย้อนไปในปี 2002 จิม บัลลาร์ด เคยทำลายสถิติโลกว่ายน้ำท่ากรรเชียง 100 ม. ที่นครซิดนีย์มาแล้ว ขณะที่ คริส มอร์แกน เริ่มต้นตำนานนักยกเหล็กของเขาจากเกย์เกมส์ ก่อนจะก้าวไปคว้าได้ถึง 30 เหรียญจากการลงแข่งรายการชิงแชมป์โลกหลายสมัย

 

จากจุดเริ่มต้นสมัยแรกที่มีนักกีฬาเข้าร่วมหลักพันต้น ๆ เกย์เกมส์ เติบโตขึ้นอย่างคงที่และมั่นคงในทุก ๆ ปี โดยการแข่งขันที่นิวยอร์กปี 1994 มีนักกีฬาเข้าร่วมมากกว่า โอลิมปิก ฤดูหนาว ในปีเดียวกัน ซึ่งในการแข่งขันครั้งที่ 11 ที่ฮ่องกงจะเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤศจิกายนปี 2023 นี้ คาดว่าจะมีนักกีฬาเข้าร่วมหลักหมื่นคน ซึ่งความสำเร็จในรายการนี้ตรงตามปณิธานที่วัดเดลล์เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ตอนจัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 1982 นั่นคือ การทำให้โลกมองเห็นพวกเขา และรับรู้ถึงพวกเขาได้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นพวกเขาลงแข่งขันอย่างสนุกสนาน นั่นคือสิ่งที่เกย์เกมส์ทำได้สำเร็จและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
cr. https://stadiumth.com/columns/detail?id=308&tab=inter

10 สัญญาณเตือน ฮอร์โมนเพศชายต่ำ

สุขภาพน่ารู้ จากหมอยูโร
” 10 สัญญาณเตือน ฮอร์โมนเพศชายต่ำ” เขียนโดย นพ.นิวัฒน์ ลักขณาวงศ์ รพ. เจริญกรุงประชารักษ์


ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ หรือ บางคนเรียก “ชายวัยทอง”
คือ ภาวะที่คุณผู้ชายมีระดับอร์โมนเพศชายที่ลดลง ฮอร์โมนเพศชายคือเทสโทสเตอโรน (Testosterone)
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง ช่วยเรื่องความจำ ระบบไหลเวียนโลหิต และทำให้สุขภาพทางเพศดีขึ้น เป็นต้น
พูดสรุปง่ายๆ คือ ฮอร์โมนตัวนี้ช่วยให้เราหนุ่มนั่นเอง


ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้สร้างจากอัณฑะเป็นหลัก และจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเราอายุมากขึ้น
โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่เร่งทำให้ฮอร์โมนเพศชายต่ำลง
เช่น อ้วนลงพุง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เครียด ฯลฯ
?..คุ้นๆมั้ยครับ พฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้จะว่าไปก็พบได้บ่อยในคนยุคปัจจุบันนะครับ จึงไม่แปลกที่คนหนุ่ม อายุไม่มาก ก็อาจมีภาวะของฮอร์โมนเพศชายต่ำได้
.
คราวนี้ถ้าขาดฮอร์โมนตัวนี้จะเกิดอาการอย่างไร?
ตัวอย่างอาการ ได้แก่ หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หงุดหงิดง่าย ไม่กระฉับกระเฉง เบื่อหน่ายซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน อ้วนลงพุง รู้สึกร้อนวูบวาบ หลงลืม กระดูกพรุน ฯลฯ
(อาการขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนที่ลดลงมากน้อยต่างกันไป)


เนื่องจากอาการของภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ ไม่เฉพาะเจาะจงและคล้ายกับอาการของโรคอื่นๆ
จึงมีเครื่องมือที่ทุกคนสามารถประเมินตัวเองเบื้องต้นได้ ก่อนที่จะมาพบแพทย์
ซึ่งเป็นแบบทดสอบ 10 ข้อ เพื่อประเมินภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ หรือ ADAM score (ตามรูปประกอบ)
โดย หากตอบว่า “ใช่” ในข้อที่ 1 หรือ 7
<หรือ> ตอบ “ใช่” อย่างน้อย 3 ข้อ


ให้สงสัยว่าอาจมีภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ ควรปรึกษาแพทย์
ซึ่งคุณหมอก็จะทำการตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนเพศชายเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
โดยอยากจะขอย้ำว่า ต้องมีการตรวจเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยครับ
แบบสอบถาม ADAM อย่างเดียวไม่พอ เนื่องจากบางการศึกษาพบว่า specificity ในการวินิจฉัยแค่ 36% ครับ และไม่แนะนำให้ไปซื้อยาฮอร์โมนมาใช้เองหลังตอบแบบสอบถามครับ


การรักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ : ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและไขมัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลจิตใจให้แจ่มใส และจัดการกับความเครียด และการลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน ฯลฯ
การให้ฮอร์โมนทดแทน ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงผลดีและผลเสียของยาฮอร์โมนก่อนใช้
ดังนั้นหากเราอยากเป็นหนุ่มฟิตปั๋งไปนานๆ เราก็ควรดูแลร่างกายและป้องกันปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ
หากมีอาการก็ให้ปรึกษาแพทย์นะครับ


ตรวจทานโดย ผศ.นพ.เปรมสันต์ สังข์คุ้ม รพ.รามาธิบดี
เอกสารอ้างอิง
Morley JE, et al. Validation of a screening questionnaire for androgen deficiency in aging males. Metabolism 2000;49:1239-42.